เป็นสิวก็ว่าเครียดแล้ว แต่พอหายแล้วทิ้งหลุมสิวไว้ยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจเข้าไปใหญ่ หลุมสิวถือเป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญ แม้สิวจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยที่เหลืออยู่กลับทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม ทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจและพยายามหลบเลี่ยงการพบปะผู้คน
หลุมสิวเกิดจากการอักเสบของสิวที่ลุกลามจนทำลายโครงสร้างผิว เมื่อผิวพยายามฟื้นฟูตัวเองแต่ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นรอยบุ๋มหรือรอยแผลเป็นทิ้งไว้ แม้จะดูเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข แต่ความจริงแล้วมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดเลือนรอยหลุมสิวให้ดีขึ้นได้
แน่นอนว่าหลายคนอาจรู้สึกท้อ เพราะหลุมสิวไม่ใช่แค่เรื่องของผิวหน้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นใจในตัวเอง บางครั้งอาจรู้สึกไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนอื่น หรือกังวลว่าผิวของตัวเองจะถูกมองเป็นจุดสังเกต
แต่ความจริงคือ…การรักษาหลุมสิวไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าหลุมสิวเกิดจากอะไร และเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเองมากที่สุด
ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับวิธีการรักษาหลุมสิวในแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การดูแลผิวด้วยตัวเอง การเลือกใช้สกินแคร์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยม พร้อมข้อควรระวัง และเคล็ดลับที่จะช่วยให้ผิวกลับมาเนียนใสอีกครั้งอย่างมั่นใจ
หลุมสิวรักษาเองได้ไหม ?
หลุมสิวเกิดจากการอักเสบของสิวที่ลุกลามจนทำให้ผิวเสียหายลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดรอยบุ๋มหรือแผลเป็นถาวร ซึ่งต้องบอกก่อนว่า…การรักษาหลุมสิวนั้น ยากกว่าการรักษาสิวทั่วไป พอสมควร คำตอบคือ “สามารถรักษาเองได้ในบางกรณี” แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของหลุมสิว หากเป็นหลุมสิวตื้นหรือเพิ่งเริ่มเกิดใหม่ การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น เรตินอยด์ วิตามินซี หรือกรดผลไม้ AHA/BHA อาจช่วยให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้อาจใช้เวลานานหลายเดือน โดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน และก็ยังไม่มีอะไรการันตีได้ว่าผิวจะกลับมาเรียบเนียนได้ 100%
หากหลุมสิวลึกหรือมีจำนวนมาก การดูแลด้วยตัวเองอาจไม่เพียงพอ แนะนำให้เข้าพบแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์, Microneedling, Subcision หลุมสิว หรือการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน อย่างไรก็ตามรักษาเองได้ แต่อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดเท่ากับการพบผู้เชี่ยวชาญ
หลุมสิวมีกี่แบบ?
หลุมสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ โดยแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของความลึก ขนาด และวิธีการรักษาที่เหมาะสม ดังนี้:
1. Rolling Scar
หลุมสิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มตื้น ๆ คล้ายคลื่นเล็ก ๆ บนผิวหนัง มักเกิดจากสิวอักเสบที่ทิ้งร่องรอยไว้เพียงเล็กน้อย ถือเป็นหลุมสิวที่รุนแรงน้อยที่สุด และสามารถรักษาได้ง่ายกว่าประเภทอื่น เนื่องจากไม่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้
2. Boxcar Scar
หลุมสิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นหลุมขนาดกลาง รูปทรงสี่เหลี่ยมหรือวงรี ขอบหลุมค่อนข้างชัดเจน มักมีความลึกพอสมควรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3–5 มิลลิเมตร โดยทั่วไปเกิดจากสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง (Cystic acne) การรักษามักใช้วิธีเลเซอร์, Dermal Filler หรือการเจาะผิวร่วมด้วย
3. Ice Pick Scar
เป็นหลุมสิวที่ลึกที่สุด มีลักษณะเป็นร่องเล็ก ๆ คล้ายถูกแทงด้วยเข็ม ปลายแหลม ลึกลงไปในผิวหนัง มองเผิน ๆ อาจดูเหมือนรูขุมขนกว้าง แต่จริง ๆ แล้วเกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อใต้ผิว การรักษาหลุมสิวประเภทนี้ทำได้ยากกว่าแบบอื่น อาจต้องใช้วิธีผสมผสาน เช่น การกรอผิว, เลเซอร์ หรือ TCA CROSS

หลุมสิวแบบไหนที่ควรระวัง?
โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังของเรามีกระบวนการฟื้นฟูตัวเองภายในประมาณ 1–2 สัปดาห์ หลังจากสิวหาย เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในบริเวณที่เคยอักเสบ แต่หากสิวมีการอักเสบรุนแรงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะสิวอุดตันที่กลายเป็นสิวอักเสบลึกหรือสิวหัวช้าง อาจทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดหลุมสิวถาวรตามมาได้
หลุมสิวที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:
• Boxcar Scars หลุมสิวลักษณะนี้มีขอบชัด ขนาดค่อนข้างกว้าง และกินลึกถึงผิวหนังชั้นล่าง หากรักษาไม่ถูกวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้นาน อาจทำให้ผิวไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการกลายเป็นแผลเป็นถาวร
• Ice Pick Scars เป็นหลุมสิวที่ลึกและมีขนาดเล็กเหมือนปลายเข็ม เจาะลึกถึงชั้นผิวแท้และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ยาก หากดูแลผิดวิธี เช่น การสครับผิวแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม อาจยิ่งทำให้ผิวบางลงและหลุมลึกกว่าเดิม
รักษาหลุมสิว ทำวิธีไหนได้บ้าง ?
การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธีที่สามารถเลือกใช้ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะและความลึกของหลุมสิว รวมถึงการตอบสนองของผิวแต่ละคน ดังนั้นต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของตัวเอง ดังนี้
- ใช้วิตามินซี (Vitamin C)
สำหรับวิธีนี้เป็นหลุมสิว หรือไม่เป็นหลุมสิว ก็ยังสามารถนำเจ้า Vitamin C มาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยกระตุ้นผิวใส ลดรอยจุดด่างดำ ซึ่งสำหรับการรักษาหลุมสิวสามารถเริ่มด้วยวิตามินซีที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 10% เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และลดรอยจากสิวที่เกิดขึ้นได้
- ใช้ AHA หรือ BHA
เป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก นิยมใช้ในการผลัดเซลล์ผิวและช่วยลดเลือนหลุมสิว ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA หรือ BHA อ่อน ๆ ในตอนกลางคืน เพื่อลดการระคายเคือง และหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดแรงอื่น ๆ และที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดในตอนเช้า เพราะกรดเหล่านี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น
การใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นช่วยฟื้นฟูผิวตั้งแต่ระดับพื้นฐานเพื่อปรับสภาพผิว ลดการระคายเคืองจากการรักษาหลุมสิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงและซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น โดยเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวมันเกินไป (Oil-free) และไม่มีแอลกอฮอล์ ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมอย่าง กรดไฮยาลูโรนิก หรือ Ceramides เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ใช้เรตินอล (Retinol)
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้หลุมสิวตื้นขึ้น และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นเพื่อลดเลือนหลุมสิวและรอยแผลจากสิว ซึ่งควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ และหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับ AHA, BHA หรือวิตามินซี ที่สำคัญก่อนใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิธีการใช้อย่างละเอียด เพื่อลดการระคายเคือง
- ใช้ยาทารักษาหลุมสิว
ยาทารักษาหลุมสิวมีด้วยกันหลายประเภท ซึ่งจะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เป็นส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น กลุ่ม Retinoid หรือยาปฏิชีวนะในกรณีที่สิวเกิดการติดเชื้อ เช่น ไนอะซินาไมด์ เรตินอล วิตามินซี และกรดซาลิไซลิก

- Juve
Juve เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถฉีดเติมเต็มหลุมสิวได้ ฟิลเลอร์ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความเนียนให้กับผิว ซึ่งนำมาใช้สำหรับรักษาหลุมสิวที่ลึกและริ้วรอย เติมเต็มผิวที่มีการยุบตัวหรือหลุมสิว ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผิวดูเต็มและเรียบเนียนขึ้น
- Subsicion
Subcision หลุมสิว เป็นหัตถการด้านความงามที่ใช้ในการรักษาหลุมสิว โดยจะใช้เข็มพิเศษที่มีขนาดเล็กปลายทู่ ในการเจาะเข้าไปใต้ผิวหนังในบริเวณที่เป็นหลุมสิว เพื่อการเลาะพังผืดหลุมสิวให้คลาย หรือทำลายเนื้อเยื่อ ที่ยึดติดระหว่างผิวหนังชั้นบนและชั้นลึก ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุให้เกิดหลุมสิวหรือแผลเป็นที่ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยไม่ทำให้ผิวถูกทำลาย
ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังใหม่แทนที่พังผืดที่ดึงผิวออก ลดร่องลึก และเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้น ผิวเรียบเนียนมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิว หรือแผลเป็นจากสิว ที่มีลักษณะลึก เป็นหลุมมองเห็นชัดเจน และไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ครีม สกินแคร์ หรือวิธีการรักษาอื่น ๆ
- สมุนไพรธรรมชาติ
อีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยรักษาหลุมสิว โดยมีสารธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบ และฟื้นฟูผิว บรรเทาผิวและปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ เช่น ว่านหางจระเข้ หรือ น้ำมันทีทรีมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและช่วยสมานแผล ดอกคาโมมายล์ที่ช่วยลดการระคายเคืองและบรรเทาผิวที่อักเสบ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และทดสอบอาการแพ้ก่อนการใช้เสมอ
- เลเซอร์หลุมสิว (Laser Treatment)
เลเซอร์ Fractional หรือ CO2 เลเซอร์จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเกิดการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น เหมาะสำหรับใช้ในการรักษาหลุมสิวลึก
- ฉีดฟิลเลอร์สกินบูสเตอร์ (Skinbooster Fillers)
เป็นการใช้ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยเติมเต็มหลุมสิวและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะในการรักษาหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก
- ฉีดเมโสหลุมสิว (mesotherapy)
การใช้เทคนิคการฉีดสารต่าง ๆ เช่น วิตามิน กรดไฮยาลูโรนิก หรือสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลงไปที่ผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยลดการเกิดหลุมสิว ให้ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระตุ้นการฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากสิว เหมาะกับคนที่หลุมสิวรุนแรงไม่มาก
- ฉีดรีจูรัน (Rejuran)
เป็นการฉีดสารโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ที่ช่วยฟื้นฟูผิวโดยเฉพาะในการซ่อมแซมและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ซึ่งเป็นสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน มีความคล้ายคลึงกับ DNA ของมนุษย์ เพื่อนำมาช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น และได้ความธรรมชาติ
- ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator)
สารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงและหลุมสิวตื้นขึ้น เป็นหัตถการที่สามารถทำได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Sculptra การใช้ Radiesse หรือการใช้ Ellansé เป็นการช่วยฟื้นฟูผิวและลดหลุมสิว หรือริ้วรอย ซึ่งมาราคาที่ค่อนข้างสูง และจะเห็นผลลัพธืชัดเจน 3-6 เดือนหลังทำ
- ทำ Microneedling
เป็นการใช้เข็มเล็ก ๆ ทำการเจาะลงในผิวหนังให้เกิดบาดแผลขนาดเล็ก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและช่วยรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับ และต้องทำซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
ใช้กรดเพื่อลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดหลุมสิว ลดการอุดตันของรูขุมขน แต่อาจมีอาการแสบร้อนหรือระคายเคืองระหว่างการทำ จึงไม่ควรใช้ความเข้มข้นที่ไม่สูงจนเกินไป และหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ทำ TCA CROSS
เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่ใช้กรด TCA (Trichloroacetic Acid) ที่มีความเข้นข้นสูงทาเฉพาะจุดในบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในบริเวณนั้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น หลุมสิวจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
- กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Dermabrasion)
เป็นการรักษาผิวโดยการใช้เครื่องมือขัดกรอผิวออกจากชั้นบนสุด ด้วยเครื่องมือที่มีเกล็ดอัญมณีหรือเครื่องขัดผิวที่ใช้สำหรับการขัดผิวให้เรียบเนียน ซึ่งช่วยในการลดหลุมสิว ซึ่งช่วยในการรักษาหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก
- ทำ PRP (Platelet Rich Plasma)
การทำพลาสมาเข้มข้นจากเกล็ดเลือด เป็นการรักษาหลุมสิวโดยการใช้พลาสมาที่ได้จากเลือดของตัวเอง ซึ่งมีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูงฉีดกลับลงไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว
- ผ่าตัดหลุมสิว (Excision)
การรักษาหลุมสิวที่ลึกและมีลักษณะรอยแผลเป็นที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่น โดยการผ่าตัดเอาหลุมสิวออกโดยตรงและเย็บผิวหนังให้เรียบเนียน ซึ่งเหมาะสำหรับหลุมสิวที่มีขนาดใหญ่ที่ลึก และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
- ฉีดไขมัน (Fat Transfer)
การนำไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาฉีด เช่น หน้าท้องหรือสะโพก โดยผ่านกระบวนการเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นไขมันคุณภาพสูงที่สามารถใช่สำหรับฉีดหน้าได้ก่อน เพื่อเติมเต็มหลุมสิว ซึ่งสามารถช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

สรุปการรักษาหลุมสิว รักษาเอง หรือให้หมอรักษาดี ?
การรักษาหลุมสิวเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและซับซ้อนกว่าการรักษาสิวทั่วไป เนื่องจากผิวที่ถูกทำลายจากการอักเสบอาจไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เต็มที่ด้วยตัวเอง ดังนั้น หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่หลุมสิวมีความลึกหรือรุนแรง ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วไปอาจไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากหลุมสิวมีลักษณะตื้นหรือไม่รุนแรงมาก ก็สามารถเริ่มต้นดูแลได้เอง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งแม้อาจต้องใช้เวลา แต่ก็สามารถช่วยให้ผิวค่อย ๆ ดีขึ้นได้
สรุปคือ หากหลุมสิวไม่ลึกมาก การดูแลด้วยตัวเองก็พอช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากต้องการฟื้นฟูผิวให้เห็นผลชัดเจนและเร็วขึ้น การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้เลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวและเห็นผลลัพธ์ที่ปลอดภัยมากกว่า
Qiyomi คลินิกที่เชี่ยวชาญด้านสิว หลุมสิว
หากคุณกำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียน ลดหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้นอย่างเห็นผล “Qiyomi Clinic” คือคำตอบค่ะ เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงด้านการรักษาสิว หลุมสิว และการยกกระชับปรับรูปหน้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ในการดูแลผิว
ที่ Qiyomi Clinic เราใช้เทคนิคและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ช่วยฟื้นฟูผิวให้เนียนเรียบ กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมให้คำแนะนำการดูแลผิวในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว หรือการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หากคุณไม่มั่นใจว่าตัวเองมีหลุมสิวประเภทไหน หรือควรรักษาด้วยวิธีใด Qiyomi Clinic พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียดค่ะ เรามี โปรแกรมรักษาหลุมสิวเฉพาะบุคคล (Personalized Acne Scars Program) ที่ออกแบบเพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิวและทุกชนิดของหลุมสิว ไม่ว่าจะเป็นหลุมตื้น หลุมลึก หรือปัญหาที่สะสมมานานหลายปี เราก็สามารถช่วยคุณฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นได้
Qiyomi Clinic มาพร้อมทีมแพทย์ผู้มากประสบการณ์ ดูแลใกล้ชิดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ผิว การวางแผนการรักษา ไปจนถึงการติดตามผลหลังทำ ด้วยมาตรฐานระดับมืออาชีพ